จบเภสัชฯ แต่กลับมาทำงานเป็นนักเขียน… นี่คือ “เคน นครินทร์” คอลัมนิสต์และบรรณาธิการบริหาร The Standard เจ้าของ Podcast The Secret Sauce
เรียนไม่ตรงสาย ทำงานก็ไม่ตรงสาย
เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาแล้วรู้ว่าฉันอยากทำอาชีพไหน หรืออยากเรียนอะไรจนกระทั่งได้ลองเรียนด้วยตัวเอง เหมือนกับพี่เคน… ที่ต้องทุกข์ ต้องท้อ เพราะพึ่งมารู้ตัวว่าไม่ได้ชอบการเรียนหรือการทำงานเป็นเภสัชกร แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะดันสอบติดเข้ามาแล้ว…
แต่ละคนจังหวะชีวิตไม่เหมือนกัน… บางคนอาจใช้เวลาสามปีพบว่าตัวเองชอบอะไรจริง ๆ แต่สำหรับคนที่ไม่ทัน จนทำให้ต้องเลือกเรียนอะไรสักอย่างมาสุ่ม ๆ บ้าง ตามกระแสบ้าง คนที่โชคดีอาจจะชอบมันในตอนเรียนก็ได้ แต่ถ้าคนที่ไม่ล่ะ… ก็คงรู้สึกเสียดายและทรมานไม่ใช่น้อยแน่นอน
…แต่อย่าลืมว่าชีวิตในมหาลัยมันสั้น ชีวิตวัยทำงานมันยาว
พูดให้ง่าย ๆ ก็คือถ้าคิดว่าไม่ใช่จริง ๆ ก็แค่เรียนให้มันจบไป… คือไม่ต้องเก่งมาก แค่เรียนให้ไม่แย่เกินไปจนพอเจียดเวลาให้ไปทดลองในสิ่งที่ตัวเองชอบ และคิดว่าอยากทำจริง ๆ เพราะชีวิตวัยทำงานมันยาว ถ้าเราทำในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ สิ่งที่เราไม่ได้เห็นคุณค่าในงานที่เราจะทำ งานที่ไม่ได้เหมาะสมกับบุคลิกของเรา ฝืนทำไปก็รู้สึกแย่กับตัวเองเปล่า ๆ สู้พยายามแบ่งเวลามาทำสิ่งที่ชอบแล้วทำมันให้ถึงที่สุดแทนดีกว่า ถึงจะน่าเสียดายความรู้ที่ไม่ตรงสาย แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่…คนเรามีความรู้ที่หลากหลายได้ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้แค่เฉพาะสิ่งที่อยากทำ
ความรู้ไม่ใช่อุปสรรคในการทำงาน
“ถ้าคนอื่นเดิน 1 ก้าว พี่ก็เดิน 2 ก้าว” – พี่เคน นครินทร์
บางคนอาจจะคิดว่า …เฮ้ย จบมาไม่ตรงสายแล้วจะมีความรู้ ทักษะ พอที่จะทำงานได้เหรอ …ในเริ่มต้นอาจจะใช่ แต่ถ้าเราพยายามากกว่าคนอื่นในการที่จะเรียนรู้ให้ทัน
ถ้า 5 ปีแรกที่ทำงานไม่ได้รู้สึกว่าหนักเลย… นั่นคือปัญหาแล้ว ปัญหาที่ว่าเรายังไม่ได้ทุ่มเทกับมันมากพอ
ในช่วง 5 ปีแรกถ้ารู้สึกว่างานหนักนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะเรากำลังเรียนรู้ให้มากที่สุด เช่น แรกเริ่มอาจจะมาจากการทำตามคนที่มีประสบการณ์ จากคนที่เราคิดว่าเขาทำงานดี จากนั้นเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด ทำความเข้าใจคู่แข่งและสนามของเราให้มากที่สุด เพราะเราไม่รู้จึงต้องทำงานเพื่อเรียนรู้มากกว่าคนอื่น อาศัยความทะเยอทะยานเป็นแรงขับเคลื่อน จนเราสะสมความรู้และทักษะมากพอ เราจะสามารถทำให้งานของเราโดดเด่นขึ้นได้เอง…
ถ้าเราไม่รู้เราก็แค่เรียนรู้… ถ้าเราความรู้น้อยกว่าก็ขยันหาจนมากกว่า
แล้วค้นหาตัวเองยังไงให้เจอ?
อย่างที่บอกแต่ละคนมีจังหวะชีวิต ในการได้มีโอกาสเจอสิ่งที่ “เป็นตัวเอง” ต่างกัน …บางคนอาจจะสองครั้งก็เจอ แต่บางคนรอเท่าไหร่ก็ไม่มา นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงควรออกไปหามัน …ออกไปหา “โอกาส” ในการพบปะตัวเองให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่หลากหลาย กิจกรรมต่างหลาย ๆ แบบ องค์ความรู้ต่าง ๆ แล้วสุดท้ายเราก็จะรู้เองว่าเราชอบอะไร เก่งอะไร เหมาะสมกับอะไร
วงกลมของพี่เคน
คุณค่าของงาน เปรียบได้เหมือนวงกลมของพี่เคน ซึ่งประกอบด้วย 3 วง เล็ก กลาง ใหญ่
วงเล็ก…ทำงานเพื่อตัวเอง
นี่เปรียบเสมือนช่วงชีวิตวัยเริ่มทำงาน… ทำเพราะชอบ ทำเพราะรัก ทำเพราะท้าทาย เป็นการตอบสนองต่อตัวเราเพียงคนเดียว …เป็นเพียงวงกลมเล็ก ๆ ที่มีค่าแค่สำหรับเรา
วงกลาง… ทำงานเพื่อคนรอบข้าง
นี่เปรียบเสมือนช่วงชีวิตวัยทำงานไปได้สักพักแล้ว… คราวนี้เราจะทำเพื่อคนรอบตัว ไม่ว่าจะเพื่อพ่อ เพื่อแม่ เพื่อให้เจ้านายเราชม… คราวนี้เป็นวงกลมที่ใหญ่ขึ้น เพราะเริ่มทำคุณค่าให้คนอื่น
วงใหญ่… ทำงานเพื่อสังคม
นี่เปรียบเสมือนช่วงชีวิตวัยทำงานที่ทำจนรู้สึกว่าอยากหาอะไรมาเติมเต็มตนเอง… เมื่อมีเงิน มีตำแหน่งที่น่าพอใจแล้ว มนุษย์จะเริ่มหาอะไรก็ตาม ที่มาเติมเต็มตนเองจากการให้ผู้อื่น …สุดท้ายนี้วงกลมจะใหญ่ที่สุดเพราะเป็นการสร้างคุณค่าให้สังคม …ให้สิ่งดี ๆ กับทุกคนไม่ว่าใครก็ตามด้วยความปรารถนาดี
ซึ่งวงกลมทั้งสามวงต่างก็เล็กใหญ่กันไปตามแต่สถานการณ์ของแต่ละคน …เพราะบางคนอาจจะให้ความสำคัญกับสามอย่างนี้ในอัตราส่วนที่ต่างกัน ดังนั้นชีวิตที่สมดุลจึงไม่มีจริง
“Work Life Balance Flow“
แบ่งเวลาทำงานอย่างสมดุลไม่มีจริงบนโลก เพราะบางครั้งชีวิตวัยทำงานมันก็ต้องมีปัญหาเกี่ยวกับงานจนไม่สามารถจัดการให้ตามเวลาได้ อย่างเช่น หมอศัลยกรรม ที่ต่อให้เป็นเวลากินข้าวก็ต้องทำงาน ถ้ามีคนไข้เข้า เพราะมันเป็นเหตุจำเป็น ดังนั้นต่อให้จัดการเวลาดีขนาดไหน ก็ไม่สามารถทำให้งานกับชีวิตส่วนตัวสมดุลได้ …แต่เราสามารถมองให้มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตได้ เพื่อที่จะทำให้เรารู้สึกว่างานไม่ใช่สิ่งที่หนักหน่วง ไม่ใช่เรื่องเครียด… เป็นแค่สิ่งที่ต้องทำเหมือนเรื่องในชีวิตประจำวัน
การตั้งคำถามที่ดีมาจากการฟังที่ดี
การตั้งคำถาม …นำไปสู่สิ่งใหม่ ๆ เสมอ
เหมือนกับนิวตันที่ถามว่าทำไมแอบเปิ้ลถึงตกลงมา เหมือนนักสัมภาษณ์ที่สามารถหาประเด็นใหม่ ๆ ได้จากคำถามไม่กี่คำถาม… ทุกครั้งที่ถามเราต้องเชื่อว่า ทุกปัญหา มีโอกาสให้เราค้นหาแนวทางใหม่ ๆ แค่ต้องรู้จักฟังปัญหาเหล่านั้นให้ดี ฟังบ่อยจนเชี่ยวชาญ แล้วเราจะสามารถจับประเด็นใหม่ ๆได้เอง
ปัญหาของคนไทย คือการไม่ฟัง
คนที่คิดไม่เหมือนเรา คือคนที่ผิด… ปัจจุบันก็ยังเป็นกันอยู่จึงเป็นปัญหา
ถ้าไม่ฟังกันจะเข้าใจกันได้อย่างไร… อย่างที่บอกไปการฟังที่ดีจะนำไปสู่การตั้งคำถามที่ดี และคำถามที่ดีจะนำไปสู่คำตอบที่ดี… ปัญหาในปัจจุบันก็เช่นกัน ปัญหาบางอย่างมันก็ไม่สามารถแก้ด้วยมุมมองเดียว สิ่งใหม่ ๆ ก็ไม่สามารถเกิดได้จากการคิดอยู่เองฝ่ายเดียว
เราก็ต้องกล้าที่จะฟังก่อน…แล้วหาทางออกไปด้วยกัน
ทำไมเราไม่เกลาตัวเองก่อนเกลาคนอื่น?